วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

สืบ นาคเสถียร

ผมคิดว่าชีวิตผม ผมได้ทำดีที่สุดแล้วเท่าที่ผมมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าผมได้ช่วยสังคมดีแล้ว ผมคิดว่ผมได้ทำตามกำลังของผมดีแล้ว และผมพอใจ ผมภูมิใจในสิ่งที่ผมทำ คือคนที่จะทำได้นี่ หนึ่ง ต้องมีความเชื่อมั่น มีพ่อแม่ที่จะ....คือพูดง่ายๆว่าเลี้ยงได้ เราไม่มีงานทำ พ่อแม่ก็เลี้ยงเราได้ ถ้าผมเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ผมไม่ได้เรียนหนังสือ ผมคงไม่มีโอกาสที่จะมาทำงานและก็ไม่สามารถที่จะมีโอกาสมารับผิดชอบสิ่งที่ ดีๆอย่างนี้ ผมรู้สึกดีใจมากเลยที่ผมได้เห็นคนรุ่นหลังๆนะ คิดให้ลึกว่าคนเรานี่ในเมื่อไม่มีใคร แต่ถ้าเราสามารถเลือก เรามีโอกาสดี เรามีเกิดมาในตระ*ลดีๆมีฐานะที่ดี มีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่เป็นลูกตาสีตาสา หรือแม้แต่บางคนเนี่ยไปอำเภอก็ยากลำบาก ถูกเจ้าหน้าที่ขู่ตะคอก แม้แต่ผมเอง เวลาผมต้องไปติดต่อขออะไรที่อำเภอติดต่อราชการด้วยกัน ผมไม่เคยได้รับอะไรพิเศษ แต่ผมจะได้รับอะไรพิเศษถ้าเขารู้ว่าผมเป็นลูกใครเขาจะรีบบริการ ยิ่งสมัยก่อนนี้ สมัยที่พ่อผมยังอยู่ที่จังหวัด ผมกลับไปบ้านผมจะเอาอะไรก็ได้ ผมไม่ต้องเดินไปเองก็ได้ แต่ผมไม่เคยขออะไรจากพ่อผมเลย พ่อผมยังเคยว่าผมเลย เพราะผมไปเอาอะไรที่อำเภอ ผมไม่เคยบอกพ่อผม เจ้าหน้าที่เขาจะทำให้ไม่ดีผมก็ไม่เคยว่า ผมไปเกณฑ์ทหารที่ปราจีนฯ พ่อผมเป็นผู้ว่าฯอยู่ ผมก็ไม่เคยบอกพ่อว่า พ่อช่วยหน่อยเพราะผมเห็นใจคนอีกเยอะที่ไม่มีโอกาสในสังคมแบบนี้ แล้วทำไมผมจะไปเกณฑ์ทหารและไปฝึก*สิ่งที่มันดีๆเพื่อมารับใช้ชาติสัก 2-3 ปีเหมือนอย่างคนอื่นๆ เหมือนลูกตาดำตาแดงบ้างไม่ได้ ผมไปจับใบดำใบแดง บังเอิญผมโชคดีจับได้ใบดำ ผมกลับมาบ้านบอกพ่อ พ่อบอกว่าเอ็งทำไมไม่บอก เพราะว่านายทหารที่อยู่ปราจีนบุรีเขาก็เพื่อนพ่อ เขาสะกิดนิดเดียวชื่อผมก็กระเด้งไปอยู่ข้างนอกทันที ...อย่างนี้มันทำกันเยอะในเมืองไทย และผมเห็นใจคนที่ไม่มีโอกาสในสังคมถูกบีบคั้นถูกเอาเปรียบทุกอย่าง ประเทศไทยจะดีขึ้นถ้าคนมีโอกาสยอมสละโอกาสบ้าง(เสียงคนเล่าสั่นเครือลงทุก ขณะ) เราช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาสให้ลืมตาอ้าปากได้ นอกจากจะเป็นกุศลแล้ว มันจะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ผมอยากเห็นสังคมดีขึ้น ผมพูดแล้วบางครั้ง....ผมอยากจะร้องไห้...จบถ้อยความนี้ ทั้งผู้ให้สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์เงืยบงันไปชั่วขณะ ดวงตาหลังแว่นของผู้ให้สัมภาษณ์ มีหยาดน้ำปริ่มอยู่ขอบตา และในใจของผู้ให้สัมภาษณ์ก็แกว่งใหวไปด้วย ทั้งสองคนพยายามระงับความรู้สึกก่อนที่ถ้อยความต่อไปจะหลุดจากปากอีกครั้ง
*****ที่คุณสืบคิดอย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่มีส่วนช่วยปลูกฝังในเรื่องนี้ด้วยใช่ใหม
/////บางครั้งครอบครัวมีส่วนมาก พ่อผมไม่เคยโกงใครกิน ...ทำไมผมถึงดีใจและภาคภูมิใจกับพ่อผมมาก เพราะพ่อเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ไม่มีสมบัติอะไร รถที่ขับอยู่ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นรถเบ็นซ์ในสายตาของคนอื่น แต่พ่อผมได้รถคันนี้มาจากการซื้อจากเพื่อน ซื้อเซ็คคั่นแฮนด์แล้วมาทำสีใหม่ ใช้เงินบางส่วนของแม่ผมซื้อมา แม่ผมมีที่นา เก็บค่าเช่านามา สมัยผมเด็กๆผมเคยมีความรู้สึกกับคนที่เช่าที่นาผมและผมคุยกับแม่ว่า แม่อย่าไปทำเหมือนคนอื่นนะ
สมัยเด็กๆแม่สอนผมทุกอย่าง แม่ยังคิดว่าผมจะป็นลูกผู้หญิง ผมเย็บจักรได้ ผมทำกับข้าวได้ ตื่นเช้าจะต้องถูบ้าน ต้องหุงข้าว ตักบาตรก่อนไปโรงเรียน กลับมาบ้านผมจะต้องไปเก็บกวาด แม่สอนผมทุกอย่าง ผมไม่เหมือนลูกผู้ว่าฯบางคนที่เดินดินด้วย*เปล่ายังเดินไม่เป็น แต่ผมทำได้ทุกอย่างและอันนี้ทำให้ผมเป็นคนอย่างนี้ เพราะผมรู้ความรู้สึกของคนที่ลำบาก ผมรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่มีโอกาส สิ่งใหนที่ผมจะช่วยสังคมได้ผมจะช่วย ที่ผมต้องตะโกนให้เพราะผมอยากเห็นสังคมมันดีขึ้น ผมอยากเห็นคนที่มีโอกาสสละโอกาสให้กับคนที่ไม่มีโอกาสบ้าง อย่าได้เที่ยวกอบโกยมากกว่านี้เลย เพราะมันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น


จากการสัมภาษณ์สืบ นาคะเสถึยร เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2533
ก่อนการเสียชีวิต 7 เดือนเศษ ลงพิมพ์ในหนังสืออิมเมจ เล่มที่ 3 เดือนมีนาคม 2533
ส่วนหนึ่งจากหนังสือตะโกนก้องจากพงไพร ชีวิตและผลงานของสืบ นาคะเสถียร

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความหมายของสายลม..

ความหมายของสายลม..
ปลายเดือนมกราคม ชีวิตผมเดินทางตามภาระหน้าที่มาหยุดอยู่บริเวณตอนใต้ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เมื่อเสร็จสิ้นจากกิจกรรมบรรยายภาคกลางคืน แสงไฟก็หมดความจำเป็น เครื่องปั่นไฟเงียบเสียงลง เงียบจนได้ยินเสียงของลมหนาวกรูใบไม้ ความเย็นยะเยือกกรีดผ่านรูขุมขน ผมควรจะมุดร่างเข้าไปในถุงนอนหนานุ่มตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่าความอยากเพ่งมองดวงดาว
เบื้องบนคือแผ่นฟ้ามืดสนิท เบื้องล่างคือผืนดินอันกรุ่นชื้น ผมนั่งอยู่คนเดียว คิดมันไปเรื่อยเปื่อย “คืนหนาวที่ดาวพราวแสง” วลีท่อนหนึ่งผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ ผมคิดไปถึงเรื่องสั้นที่อยากเขียน ผมใช้ท่อนนี้ขึ้นต้นเรื่องดีไหมนะ “แล้วจะเขียนเกี่ยวกับอะไรล่ะ” “อืม ความจริงผมก็ยังไม่แน่ใจ”
ผมอยากเขียนเรื่องราวชีวิตของคนๆ หนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย มีรายละเอียดของการดำรงอยู่ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ช่วงของการแสวงหา ต่อสู้กับอุปสรรคจากภายนอกและภายในใจตนเอง เรียนรู้ที่จะรัก และค่อยๆ จดจำความผิดพลาด ผ่านพ้นจุดเปลี่ยนของชีวิต ค้นพบตัวตน จนกระทั่งถึงบั้นปลายซึ่งมีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย งดงาม
“อุดมคติไปหรือเปล่า” “นิยายจีนกำลังภายในรึเปล่าเนี่ย” ไม่หรอก ผมจะเขียนโดยใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในบริบทของสังคมไทย เอ...จะเป็นน้ำเน่าปัญญาชนไหมนะ ออกเลี่ยนๆ คงไม่หรอก ถ้าผมเขียนได้ “ถึง” ผมจะทำให้คนอ่านได้สัมผัสกับความดี ความงาม ความจริง เข้าถึงศรัทธาของการมีชีวิตอยู่ ตัวละครของผมจะสะท้อนถึงจิตวิญญาณศิลปิน รักอิสระ รังเกลียดความอยุติธรรม และใช้ชีวิตทุกขณะราวกับว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
อุ๊บ!! ดาวตก
อธิษฐานไม่ทันอีกแล้ว ไม่เคยเห็นดาวตกหางยาวส่องสว่างอย่างนี้มาก่อนเลย
เอ.. คิดถึงไหนแล้วนะ หรือผมควรจะเขียนเรื่องราวของมิตรภาพ นับวันคำๆ นี้ดูจะสูงส่งขึ้นทุกที มิตรภาพ ความจริงใจ ความห่วงใย ห่วงหา เปรียบดังหยาดน้ำชะโลมลงบนผืนดินชีวิตอันแห้งแล้ง ท่ามกลางสังคมที่ผุกร่อน
แล้วทำไมผมต้องเขียนหนังสือด้วยล่ะ แค่นี้หนังสือยังไม่ล้นโลกอีกเหรอ ไม่มีใครเขามีเวลาพอมานั่งอ่านวรรณกรรม นั่งพินิจ พิจารณา ละเมียดละไมกับชีวิตอีกแล้ว เออ... มันก็จริง แต่ถ้าคนเราไม่ค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ แล้วจะเกิดมาทำไม
แต่ก็อีกนั่นแหละ การแสวงหาไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือก็ได้นี่ คนที่ค้นพบอาจไม่จำเป็นต้องรักศิลปะ เขาอาจบรรลุสัจธรรมในรถเบนซ์ราคาหลายล้าน ในอ้อมกอดของนางงามเลอโฉม คนหลายคนค้นพบความสุขบนกองเงิน แม้ว่ามันอาจจะมาจากการเสียโอกาสของผู้ด้อยกว่า มนุษย์หลายคนไม่เห็นเจ็บปวดกับสิ่งชั่วร้ายที่เขาทำ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
แต่ความความของชีวิตที่แท้ มันน่าจะหมายถึงการอยู่อย่างมีคุณค่าด้วยมิใช่หรือ “คุณค่าแห่งชีวิต”...ฟังดูช่างเป็นอะไรที่นามธรรมอีกแล้ว
ผมหยุดความฟุ้งซ่านของตัวเองลงด้วยการเปิดไฟฉาย บางทีแสงจากดวงดาวนับล้านอาจกำลังทำให้ผมสับสน ผมหาดวงดาวที่คุ้นเคยไม่เจอ
พลิกอ่านสมุดจดของตัวเอง เล่มนี้ผมเอาไว้ใช้คัดลอกข้อความที่ชอบจากหนังสือต่างๆที่อ่านเจอ หลายครั้งข้อความไม่กี่ประโยค ทำให้ผมสงบขึ้นอย่างประหลาด
“ผมต้องการที่ยืนแบบ เจ้าชายน้อย ของแซงเต็กซูเปรี ที่สามารถพิศวงกับดวงดาวได้ทุกประเภทในจักรวาล ผมรู้ว่ามีดาวนับแสนอยู่บนท้องฟ้า แต่นับได้สี่ดวงผมก็ว่าพอแล้ว
ข้อสำคัญคือผมต้องหามันให้พบ เพื่อที่จะได้มองมันอย่างเต็มตา มีสง่า มีศักดิ์ศรี แล้วมีความเป็นเพื่อนให้คนที่อยากเป็นเพื่อน ผมไม่จำเป็นต้องคบกับคนทุกประเภทบนโลกใบนี้
ผมเป็นในสิ่งที่ผมเลือก ผมต้องการนับถือตัวเองมากกว่าการท้าทายตัวเอง
ผมไม่ต้องการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุด แต่ต้องการแค่รู้ว่า อากาศที่เชิงเขาก็เย็นสบายดีแล้ว ผมต้องการ “ค้นหา” มากกว่า “ค้นพบ”
เพราะการค้นหาทำให้ผมนับถือตัวเอง ส่วนการค้นพบนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะตามมา...”
เป็นข้อเขียนของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เรื่องความในใจข้ามยุค
คำนำของหนังสือเรื่องสั้นช่อการะเกด
สายลมหนาวพัดมาอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่มาพร้อมกัน สายลมอาจพัดพาความฉ่ำชื้น ความร่มร้อน ความเยือกเย็นมาสู่เรา แต่สายลมไม่เคยปรากฎตัว
ผมเริ่มเข้าใจว่าบางสิ่งบางอย่าง เราไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา
ไม่มีคำกล่าวใดสามารถอธิบายถึงแรงขับเคลื่อนภายในได้หมดจด ไม่ว่าจะเป็นความอยากเขียน ความอยากออกเดินทาง ความรักในเพื่อนมนุษย์
ผมไม่มีวันมองเห็นความหมายจากสายลมหรอก
แต่ผมรู้สึกได้ ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
จุลสารมิตรภาพ ของชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ 
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก.พ. 2541
Happy Valentine's Day
Dew..

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความสุขอยู่ที่ใด..??


ความสุขอยู่ที่ใด..??

ฉันไม่มีความสุข...

ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด

ฉันไม่ชอบเจ้านาย เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น

ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ

ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่

ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น

ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน

ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน

ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันอยากตื่นสายๆ แต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า

ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงตัดต้นไม้และเครื่องตัดหญ้าของเพื่อนบ้าน

ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว

ฉันไม่ชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า

ฉันไม่ชอบรถเมล์ เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว

ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า

ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร

ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย

ฉันไม่ชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน

ฉันไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง

ฉันไม่ชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา

ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก

ฉันไม่ชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซาก ไม่โรแมนติก ไม่เอาอกเอาใจฉันเลย

ฉันไม่ชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียด ทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว

ฉันไม่มีความสุข... ........... ความสุขอยู่ที่ไหนกัน...


ต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข... ........................................................................

ฉันชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันให้โอกาสฉันได้แสดงฝีมือทำงานเพื่อส่วนรวมและมีรายได้มาเลี้ยงตัวเอง งานทั้งหลายนั้นดูช่างท้าทายฉันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันชอบเจ้านาย เพราะเขาให้โอกาสฉันคิดและตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยพยายามตักเตือนแนะนำเมื่อฉันทำงานผิดพลาด

ฉันชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งสัปดาห์นี้จะต้องดีกว่าสัปดาห์ที่แล้ว

ฉันชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันเพิ่งทำงานไปได้วันเดียว ยังมีอีกหลายวันที่สนุกสนานรออยู่ เพื่อนที่ทำงานยังรอฉันอยู่

ฉันชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมความล้าเล็กน้อยและพบว่าเวลาผ่านไปครึ่งทางแล้ว ฉันจะรีบทำงานในเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันจะได้พักผ่อนวันหยุดแล้ว

ฉันชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเห็นความคืบหน้าของงานในสัปดาห์นี้มากมาย หากฉันไม่จัดการงานพวกนี้ บริษัทและทุกคนในบริษัทคงลำบากมากฉันรู้ว่าฉันมีส่วนร่วมในการผลักดันบริษัทของฉัน

ฉันชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่านี่คือวันทำงานวันสุดท้ายแล้วฉันจะจัดการทุกสิ่งไม่ให้คั่งค้างเพื่อให้พรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นวันหยุดที่แสนสบาย

ฉันชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านใกล้ๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ฟังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้นฉันจะเริ่มทำความสะอาดบ้านและมองดูบ้านที่สะอาดขึ้นทีละน้อยอย่างภูมิใจ

ฉันชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะตื่นแต่เช้าเช่นกันเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระที่ผ่านมาหน้าหมู่บ้าน จากนั้นฉันจะไปซื้อของและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน รอคอยสัปดาห์ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

ฉันชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ฉันมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

ฉันชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันเพลิดเพลินกับการฟังเพลงวิทยุช่องโปรดและเหม่อมองสิ่งต่างๆรอบตัวนานขึ้น

ฉันชอบรถเมล์ เพราะฉันมองเห็นคนมากมายที่กำลังร่วมทางกันอยู่บนรถคันเดียวกัน แต่ละวันที่ได้พบกับผู้คนบนรถเมล์ฉันมักจะได้แง่คิดดีๆ จากการเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ

ฉันชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันดูกะทัดรัดดูแลทำความสะอาดได้ง่าย มีเพื่อนบ้านมากมายคอยช่วยเป็นหูเป็นตาให้

ฉันชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง และฉันมักจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังอยู่เสมอเมื่อเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตในเมือง

ฉันชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันทำให้ฉันผ่อนคลายและได้ล่องลอยไปในโลกความฝันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

ฉันชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกถึงชีวิตชีวารอบข้าง เสียงแมลงต่างพากันร้อง นกต่างพากันบินออกหากิน ดอกไม้เบ่งบาน

ฉันชอบหน้าฝน เพราะมันช่างดูอบอุ่นชุ่มเย็น การเฝ้ามองต้นไม้เขียวขจีต้องลมฝนจากใต้ชายคาบ้านฉันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ

ฉันชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบาย ได้หยิบเสื้อหนาวสวยๆในตู้ออกมาใส่จะเดินออกไปไหนมาไหนก็กระชุ่มกระชวย นอนหลับก็สบายไม่ต้องเปิดพัดลม

ฉันชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากฉันทำงานของฉันจนประสบความสำเร็จฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยของฉันจะเป็นที่ยอมรับของทุกคน

ฉันชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนจริงใจพูดตรงไปตรงมา ไม่มีมารยา และทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะเอาอกเอาใจเธอ

ฉันชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย และมีบทเรียนใหม่ๆ ที่จะคอยสอนใจฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับที่มันเคยสอนฉันให้มองโลกอย่างมีความสุขมาแล้ว

ฉันมีความสุข...


ความสุขอยู่ในทุกหนแห่งและอยู่ที่ตัวฉันเอง...อยู่ที่ฉันจะตั้งใจมองหามันในทุกสิ่งรอบข้างเองหรือไม่เท่านั้น...


ดิว
การ์ตูน ขายหัวเราะ
ฉบับประจำวันพุธที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2550