วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

แถมอีกหนึ่งค่ะ เรื่องหมาๆๆ

บทความนี้ไปเจอโดยบังเอิญขณะที่หารูปมาอ๓ิบายเรื่องหมาๆๆของเรื่องที่แล้ว
อ่านแล้วรู้สึกอย่างแบ่งบันอะคะ คือขอเกินโควต้าซักวันละกัน
อยากให้ได้อ่านจริงๆๆ



คน ใจดำ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้.....เพราะอะไร??

เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา
แกกินแหลกครับ แต่แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป…ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่
กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก 'xxxกินไม่ลงว่ะ'
แกทำอย่างเดียวกับหมาขี้เรื้อนคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ)
มันไปหาของกินที่บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้
คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป แกเดือดทันทีครับ
วิ่งตามไป คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก แกทุบไปทีเดียวหมาขี้เรื้อนนั่นล้มลงชักทันที
(แกบอกว่าหากตีตรงจุดแค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ
(แค้นจัดสงสัยคราวนี้คิดอยากจะกินหมาขี้เรื้อนด้วยแล้ว) ให้ผมเฝ้าไว้
ผม ก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปไปซ่ะ จะได้ไม่ตาย..มันไปจริงครับ) มันหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และก็เป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้พี่ชิต แกก็เลยต้องวิ่งตามหมาขี้เรื้อนอย่างเดียวพร้อมบ่น 'ทำไมมันไม่ตายวะ'
พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................
หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านม บางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด
ไม่อยากเชื่อ..นั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน..มันต้องการให้นมลูกก่อนตาย
มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น
ในยามนั้น..สิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน
แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งทนเจ็บปางตายเพื่อกลับไปหาลูก
แกไม่พูดอะไร..ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ..สายตาอ่อนโยนลง
ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า 'ขอโทษ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา
แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก 'มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้'
.........................................................................................

อ่านเสร็จยอมรับว่าช็อคค่ะ
สัตว์ทุกตัวมันก็มีชีวิตและมีหัวใจทั้งนั้นแหละค่ะ
รู้ตัวว่าจะตายแต่ก็ยังวิ่งกลับไปหาลูกของมัน ช็อคค่ะ ช็อคมากๆๆ
ถึงเค้าจะเลิกทำร้ายสัตว์แต่เวรกรรมที่เค้าเลยทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นๆไว้
มันคงลบล้างกันไม่ได้

หมาขี้เรื้อน!!!!!!!


กิ๊ฟได้รับFw.mailมาจากคุณพ่อคร๊าา ตอนแรกสารภาพเลยนะขี้เกียจอ่านจะลบเลย ^^เพราะกลัวไวรัส

แต่เมื่อเปิดออกมาแล้วก็รู้สึกประหลาดใจและแอบเคืองตัวเองว่าถ้าลบไปนี่จะเอาไรมาลงblog 5555+

ไม่ใช่คร๊าาา แต่เป็นเพราะอะไรลองอ่านดูนะค่ะ ^^เดี๋ยวหนูจะเฉลยข้างล่างว่าเพราะอะไร

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่งเพิ่ง

สำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย รูปพลอย

อิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ

พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้ รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย

ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้าง

อย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป

ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้


โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี

ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีด

เครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า

อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ ซักผ้าเอง

(**เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน** **

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น

พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเองควรจะกระจายอำนาจมอบ งานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียนอ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ **

เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่

เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน* * **

คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน** **

เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้** **

อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม** **

เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ** **

หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน** **

สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี **

คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน** **

แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที** **

เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า** **

เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่** **

แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก** **

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า** **

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น** **

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย** **

นึกอย่างไร** **ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน**

**ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู **

ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง**

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน** **

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน** **

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ

จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก **

" **อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน** **

ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"** **

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย** **

แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า** **

หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ **



อ่านจบแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างที่เป็นอย่างวันนี้เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพอรึป่าว

เพราะเราไม่รู้จักคำว่าพอดีรึป่าว?????

สถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์โลกมันถึงได้เป็นแบบนี้

และเรื่องของ อัตตา ทุกวันนี้เรายึดติดกับอะไรมากไปรึเปล่า????

ลาภ ยศ ชื่อเสียง ใบปริญญา

ยึดติดในความคิดของตนคิดว่าตนเองดีแล้ว

เอาสิ่งที่ตนมีและความต้องการของตนเองไปกำหนดกรอบชีวิตของคนอื่นหรือป่าว???

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

Life is a journey and not a destination

Life is a remarkable journey that takes us up and down a road of happiness, growth, interaction, love, fear and sometimes pain and hardship, which comes with all the good we are blessed with. Everyone has their own journey, yet we all experience the same emotions and struggles that are synonymous with life. Our journey will begin with our cry at birth and end with our last breath at death.

From birth to death we are always experiencing sensations from the world we live in. We are nurtured, loved, taught and grow, through every good and bad we encounter. Every stage of our life prepares us for the next. We learn to be social beings by interacting with everyone who crosses our path. We learn about each other through communication, intellect and emotion.

As we travel along our own road we remember people who were once an important part of our lives. We may not see these people anymore but, they will always be thought of on our journey of discovery. They will be tucked away in our minds and hearts. Relatives, old friends, teachers and mentors have aided us in our development and also helped us along this remarkable journey of existence. They created our foundation of growth and have contributed to who we are.

We hit milestones as babies and prepare for many years of school and learning. We sometimes move from one house to another, date different people, travel or stay local. As we age and our body goes through the many transformations from birth to death we can visually observe these changes that take place in our lives. We start out vulnerable and dependent and, before the journey is completed we can easily end up vulnerable and dependent once again as we age, and it becomes harder to do the same things we once did.. The road sems to come full circle as we become elderly and in need of assistance once again like we did as infants.

We work hard to accomplish our goals and discipline ourselves to be productive people who can make a difference in this wonderful world we live in. We start out learning from others and if we are lucky enough, down the road we can teach others the information we obtained, as we pass through certain stages of development. We go from student to teacher as we start learning from others and then with knowledge behind us we can begin to give advice and help others from the experiences we obtained.

We should not rush through our journey, because, every stage along the way can never be taken back. We will not physcially pass through again. We need to continue forward as life does not give us a do over. Life is short and as we look back, it seems like it was yesterday, when it very well may have been many years, that we were in a particular place, at a particular time, feeling a certain emotion.

The destination is not the goal. Although those of us who believe in a heaven should prepare and be good people on earth to obtain the final glory of peace and tranquility with our God. But, as we live our lives we should always take time traveling along our journey. We should remember all the goodness and experiences that crossed our path and realize each stop along the way is part of the whole picture. The complete snapshot of our lives.

Life is a continuous journey of wonderful experiences that shape us. We should always embrace our joys and sorrows, knowing that it is all part of where we are going and who we are. The happiness that we feel, and the many emotions we have will take us up and down this magnificent road of beauty, love, peace, joy and loss that is all truly part of life's journey. Every step along the way should be savored, understood and enjoyed as it is meant to be in order to make this unique remarkable journey complete.


ที่มา : http://www.helium.com/items/1836746-life-is-a-journey-and-not-a-destination

...อ่านบทความนี้แล้วชอบ โดนใจมากๆเป็นการส่วนตัว เลยเอามาแบ่งปัน ขอโทษด้วยที่ต้องเอามาทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่เท่าที่อ่านดูก็คิดว่าเป็นภาษาที่เรียบง่าย อ่านเข้าใจได้^^ ชอบที่ตั้งแต่ชื่อเรื่องว่าชีวิตคือการเดินทาง..ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง มันไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันคือการเรียนรู้...ลองอ่านกันดูนะ

อาม

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift)

การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) 

การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) 
กระบวนทัศน์ (Paradigm) มาจากภาษากรีก โดย para แปลว่า beside ส่วน digm แปลว่า ทฤษฎี คือ ชุดแนวความคิด หรือ มโนทัศน์ (Concepts) ค่านิยม (Values) ความเข้าใจรับรู้ (Perceptions) และการปฏิบัติ (Practice) ที่มีร่วมกันของคนกลุ่มหนึ่ง ชุมชนหนึ่งและได้ก่อตัวเป็นแบบแผน ของทัศนะอย่างเฉพาะแบบหนึ่ง เกี่ยวกับความจริง (Reality) ซึ่งเป็นฐานของวิถี เพื่อการจัดการตนเอง ของชุมชนนั้น ทีทำหน้าที่สองประการ ประการแรกทำหน้าที่ วางหรือกำหนดกรอบ ประการที่สอง ทำหน้าที่บอกเราว่าควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ภายในกรอบเพื่อให้เกิดความสำเร็จ 
“กระบวนทัศน์” (Paradigm) คืออะไร คงจะมีคำแปลอยู่หลายๆ อย่าง เริ่มจาก โทมัส คูน (Thomas S. Khun) นักประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นต้นตำรับของการใช้คำว่า Paradigm หรือ กระบวนทัศน์ โดยมุมมองทางด้านวิทยาศาสตร์ได้นิยามไว้ว่า “ คือตัวอย่างต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับของการทำงานด้านวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ตัวอย่างที่รวมไปถึงกฎ ทฤษฎี การนำไปใช้และเครื่องมือรวมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ก่อให้เกิดรูปแบบที่ซึ่งนำไปสู่แนวปฏิบัติที่เชื่อมโยงกันอย่างเฉพาะพิเศษในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และอธิบายต่อว่า “คนที่มีงานวิจัยอยู่ในกระบวนทัศน์เดียวกัน จะมีกฎและมาตรฐานการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์เหมือนกันและได้ผลออกมาเหมือนกัน”
ต่อมาอดัม สมิท (Adam Smith) จากหนังสือPower of the Mind ก็มาให้คำจำกัดความที่กระชับขึ้นว่า “กระบวนทัศน์ คือ วิถีทางที่เรามองโลก ดังเช่น ปลามองน้ำ กระบวนทัศน์อธิบายเรื่องราวของโลกต่อเรา ช่วยให้เราคาดเดาพฤติกรรมของโลกได้ การคาดเดามีความสำคัญมาก” และยังมีอีกหลายๆ คนที่มาพยายามอธิบายความหมายของกระบวนทัศน์ แต่ผู้ที่ให้ความหายที่น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด คือ โจเอล อาร์เธอร์ บาร์เคอร์ (Joel Arthur Barker) ผู้เขียนหนังสือ Paradigm และ Future Edge ได้ให้ความหมายว่า “กระบวนทัศน์” คือ ชุดของกฎและกติกา(ที่เป็นหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) ที่ทำสองอย่าง : (1) ทำหน้าที่วางหรือกำหนดกรอบ (2) ทำหน้าที่บอกเราว่าควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรภายในกรอบเพื่อให้เกิดความสำเร็จ” รวมไปถึง “เราวัดความสำเร็จนั้นอย่างไร” บาร์เคอร์สรุปว่า กีฬาทุกชนิดมีกระบวนทัศน์ของตนเอง กระบวนทัศน์ของเทนนิส แน่นอนมีกรอบ มีกติกา มีกระบวนการที่จะต้องแก้ปัญหาให้เกิดความสำเร็จ เมื่อเผชิญกับลูกบอลที่กระดอนข้ามเนตมา เราจะแก้ปัญหาโดยการตีหรือตบอย่าไรให้ลงคอร์ทตามกฎกติกาของเทนนิส กระบวนการแก้ปัญหาเหล่านี้ เราต้องใช้ไม้แรคเก็ตเทนนิสตีหรือตบ ไม่ใช่ใช้ไม้แบดมินตัน หรือใช้มือตีหรือใช้เท้าเตะ และถ้าเราตีกลับไปด้วยเครื่องมือที่ถูกต้อง ข้ามเนตไปตกอยู่ในเส้นกรอบของคอร์ท เราก็ได้แก้ปัญหานั้นสำเร็จ และก็กลายเป็นปัญหาให้คู่ตีของเราต้องแก้ปัญหาบ้าง เกมส์กีฬาทุกชนิดจึงมีกระบวนทัศน์ของตนเอง คนที่มีอาชีพต่างๆ กัน ก็มีกระบวนต่างไปในการประพฤติปฏิบัติและประสบความสำเร็จ มีความแตกต่างบางประการระหว่างกระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์และกระบวนทัศน์อื่นๆ คือ กระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเราทำการทดลองสำเร็จเรื่องใดก็ตาม เมื่อคนอื่นทำตามด้วยเครื่องมือแบบเดียวกันและขั้นตอนเหมือนกันจะประสบความสำเร็จเหมือนกัน แต่กระบวนทัศน์อื่นๆ เช่น ด้านกีฬาและศิลปะ จะแตกต่างกันที่เราเอาไม้แรคเก็ตก็ดี แปรงสี สีและกระดาษให้คนสองคนทำตามทุกขั้นตอนเหมือนกัน แต่อาจจะประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จต่างกันก็ได้
เฉลิมพล ศรีหงษ์ กล่าวว่า กระบวนทัศน์ หมายถึง การกำหนดแก่นของปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาในลักษณะภาพรวม ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และใช้เป็นพื้นฐานร่วมกันในการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ หรืออธิบายรายละเอียดต่อไป
กล่าวโดยสรุปกระบวนทัศน์ หมายถึง ตัวแบบ รูปแบบ กรอบแนวความคิด แนวทางการศึกษา ที่ใช้วิธีการทางด้าน วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการศึกษา และแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

Paradigm เป็นวิธีการหรือมุมมองต่อปรากฏการณ ์ที่แสดงความสัมพันธ์ ซึ่งนำไปสู่การวิจัยและการปฏิบัติ ช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ ประเด็นปัญหา แนวทางแก้ไข และเกณฑ์ ในการพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน paradigm ประกอบด้วยทฤษฎีและวิธีการ
Paradigm หรือ กระบวนทัศน์ โดยมุมมองทางด้านวิทยาศาสตร์ได้นิยามไว้ว่า คือตัวอย่างต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับของ การทำงานด้าน วิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ตัวอย่างที่รวมไปถึงกฎ ทฤษฎี การนำไปใช้และเครื่องมือรวมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ก่อให้ เกิดรูปแบบที่ซึ่งนำไปสู่ แนวปฏิบัติที่เชื่อมโยงกันอย่างเฉพาะพิเศษ ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และอธิบายต่อว่า " คนที่มีงานวิจัยอยู่ในกระบวนทัศน์เดียวกัน จะมีกฎและมาตรฐานการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์เหมือนกัน และได้ผลออกมาเหมือนกัน"
กระบวนทัศน์ ก็คือ กระบวนคิดวิเคราะห์ วิธีคิด วิธีปฏิบัติ แนวการดำเนินชีวิต มาทบทวนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับยุค และสถานการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความเชื่อพื้นฐานที่มีในจิตใจของมนุษย์ทุกคน แตกต่างกันตามเพศ ตามวัย ตามสิ่งแวดล้อม ตามการศึกษาอบรม และตามการตัดสินใจเลือกของแต่ละบุคคล ความเชื่อพื้นฐานนี้แหละเป็นตัวกำหนด ให้แต่ละคนชอบอะไร และไม่ชอบอะไร พอใจแค่ไหนและอย่างไร เป็นตัวนำร่องการตัดสินใจ ด้วยความเข้าใจ และเหตุผลในตัวบุคคลคนเดียวกัน อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ หากรู้สึกว่ามีเหตุผล เพียงพอที่จะเปลี่ยน แต่จะไม่เปลี่ยนด้วยอารมณ์ ก่อนเปลี่ยนจะต้องมีความเข้าใจ กระบวนทัศน์เก่าที่มีอยู่และ กระบวนทัศน์ที่จะรับเข้ามาแทน มีการชั่งใจจนเป็นที่พอใจ มิฉะนั้นจะไม่ยอมเปลี่ยน เพราะอย่างไรเสีย ตราบใดที่มีสภาพเป็น คนเต็มเปี่ยมจะต้อง มีกระบวนทัศน์ใด กระบวนทัศน์หนึ่งเป็น ตัวตัดสินใจเลือกว่า จะเอาหรือจะปฏิเสธ ไม่มีไม่ได้ ถ้าไม่มีจะไม่รู้จักเลือก และตัดสินใจไม่เป็น
กระบวนทัศน์ไม่ใช่สมรรถนะตัดสินใจ สมรรถนะตัดสินใจ(faculty of decision) คือ เจตจำนง (The will) กระบวนทัศน์เป็นสมรรถนะเข้าใจ (understanding) และเชิญชวนให้เจตจำนงตัดสินใจ
กระบวนทัศน์แม้จะมีมากมาย กล่าวได้ว่าไม่มีคน 2 คนที่มีกระบวนทัศน์เหมือนกันราวกับแกะ 
กระบวนทัศน์การวิจัย (Research Paradigm) เป็นกระบวนการทางความคิดและปฏิบัติการเกี่ยวกับการวิจัย ที่มีการเชื่อมโยง ระหว่างโลกทัศน์ (worldview) และมโนทัศน์ (concept) ต่อความเป็นจริง หรือปรากฏการณ์ในโลกอันเป็นพื้นฐาน ในการสร้างและทำความเข้าใจรับรู้ (perception) ต่อความเป็นจริง หรือปรากฏการณ์นั้นๆ เพื่อพัฒนาไปสู่การสร้างแนวปฏิบัติ (practice) รวมทั้งหาวิธีการจัดการ (management) ร่วมกัน โดยมีเป้าหมาย ในการสร้างแบบแผน (pattern) แบบจำลอง (model) รวมทั้ง ค่านิยม (value) ที่เป็นพื้นฐาน การจัดการตนเอง ของชุมชนหนึ่งๆ
การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) คือ การเปลี่ยนแปลงความรู้ วิธีคิดแบบใหม่ที่หักล้างและท้าทายกระบวนทัศน์เก่า จนกระทั่งกระบวนทัศน์เดิมไม่มีพลังในการอธิบายหรือแก้ปัญหาได้
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ นั้น เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นในสังคมมนุษย์ ครั้งที่หนึ่ง จากที่มนุษย์เร่ร่อนหากิน โดยการล่าสัตว์และเก็บพืชผลตามธรรมชาติมาทำเกษตรกรรมแบบตั้งรกราก และครั้งที่สอง เมื่อสมัยเรเนซอง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามมา โดยอาจมองเดคาร์ต-นิวตัน ว่าเป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ที่ให้ความชัดเจน แก่กระบวนทัศน์ในยุคนั้น ซึ่งได้แบ่งกายออกจากจิตอย่างเด็ดขาด และนิวตันก็มองสรรพสิ่งว่าเป็นก้อน ดังเช่นลูกบิลเลียดที่เคลื่อนไหว กระทบกระทั่งกัน หรือสัมพันธ์กันแต่ภายนอก ซึ่งจะตรงข้ามกับทัศนะในการ มองธรรมชาติแบบกระบวนทัศน์ใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นในการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ ครั้งที่สาม ที่มนุษยชาติกำลังจะก้าวเข้าสู่ ยุคควอนตัมฟิสิกส์ที่ความสัมพันธ์แบบ เครือข่ายอันเป็น พลวัตจากภายในกายกับจิต คือหนึ่งเดียวไม่อาจแบ่งแยกกันได้ เคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนแทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสิ่ง
ฉะนั้น เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงมนุษย์จึงจำเป็นจะต้องมีวิธีคิดแบบใหม่
ในเรื่องวิธีคิดแบบใหม่นี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่อง รากฐานของการเรียนรู้ เพราะกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ทั้งหมดตั้งอยู่บนฐาน ขององค์ความรู้ที่เราเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง องค์ความรู้ที่ให้คำอธิบาย หรือตอบความจริงที่ว่านั้น ให้กับมนุษย์เราที่สำคัญที่สุดคือ วิทยาศาสตร์ที่มีรากเหง้าจากฟิสิกส์ กระบวนการเรียนการสอนทั้งหมดตั้งอยู่บนรากฐานนั้น วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์เก่าจากฟิสิกส์เก่า และในปัจจุบันนี้ก็ยังมีวิทยาศาตร์ใหม่ที่ตั้งบนฟิสิกส์ใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาอีก และบางส่วนได้พิสูจน์อย่างไร้ข้อสงสัยแล้วว่า วิทยาศาสตร์เก่า แม้ว่าจะนำมาใช้ได้จริงแต่ก็ยังหยาบมาก ซึ่งเมื่อลงไปในรายละเอียดแล้ว วิทยาศาสตร์เก่านั้นมีทั้งไม่จริงหรือไม่ก็ไม่สมบูรณ์เลย
วิทยาศาสตร์ใหม่และเป็นความรู้ใหม่จริงๆ นั้นมาจากวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ นำมาใช้ตามคำเรียกหาของนักวิชาการตะวันตก ในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ด้านหนึ่งหมายถึง ควอนตัมฟิสิกส์และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ วิทยาศาสตร์ทางจิต สำหรับควอนตัมฟิสิกส์นั้น แม้ว่ายังมีการจัดไว้ให้เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ แต่ที่แน่นอนคือ ควอนตัมฟิสิกส์ ไม่ใช่ฟิสิกส์คลาสสิกของนิวตัน หรือกาลิเลโอดังเช่นที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ไม่จริง แต่ก็ยังนำมาใช้ได้ เป็นเพราะวิทยาศาสตร์เก่าตั้งบน หลักการเครื่องจักรเครื่องยนต์ประกอบขึ้น มาจากชิ้นส่วนของวัตถุที่แปลกต่างกัน เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่จะทำงานได้ก็ต้องอาศัย พลังงานจากภายนอก ทำให้เราสามารถกำหนดหรือทำนายผลของการทำงานนั้นๆ ได้
กระบวนทัศน์การสื่อสารได้เปลี่ยนจากการใช้ควันไฟ เช่น อินเดียแดง หรือกระจกสะท้อน เช่น ทหารเรือสมัยโบราณ มาเป็นการใช้ม้าเร็ว ใช้จดหมายผูกติดขานก หรือเขียนจดหมายลอยใส่ขวด มาเป็นการใช้จดหมายทางไปรษณีย์ ใช้การส่งรหัสมอร์ส โทรเลข จนมาถึงการใช้โทรศัพท์ตามสาย โทรศัพท์ไร้สาย จนถึงเครื่องโทรสาร หรือ e-mail ซึ่งสามารถส่งกระดาษที่มีข้อความตั้งแต่หนึ่งหน้าไปจนถึง เอนไซโคลปีเดีย เป็นเล่ม ๆ ภายในเวลาไม่กี่นาที ไม่กี่วินาที ข้ามทวีปไปในที่ต่าง ๆ ได้ กระบวนทัศน์การสื่อสารในปัจจุบันถึงเล่าให้คนในอดีต 50 ปี 100 ปี ก็จะไม่เข้าใจเพราะกระบวนทัศน์ยุคก่อนนั้น ไม่สามารถอธิบายกฎ กติกา กระบวนการทฤษฎีและเครื่องมือที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ เราก็ไม่อาจจะคาดเดาไปได้ในอนาคต แต่จินตนาการนั้นไปได้ไกลกว่า วิทยาศาสตร์ที่ยังอธิบายหลาย ๆ เรื่องที่มนุษย์มีจินตนาการไม่ได้ เช่น การเคลื่อนย้ายมวลสาร เช่น ตัวตนคนจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเหมือนในหนังเรื่อง Star Trek หรือ The Fly อ้ายแมลงวัน แต่ความฝันเหล่านั้นสักวันหนึ่ง อาจจะเป็นจริงไปได้ จินตนาการเหล่านี้ก็เกิดขึ้นในอดีตก่อนจะเป็นความจริง เช่น ความฝันที่จะบินได้แบบนก ของมนุษย์ จนได้มีความพยายามที่จะบินอย่างนกมาหลายต่อหลายครั้งและมาสำเร็จเมื่อพี่น้อง ตระกูลไรท์ ได้เปลี่ยน กระบวนทัศน์ของการบินสำเร็จ ความคิดเห็นหรือจินตนาการของคนเราจึงมักถูกจะมองว่าสติไม่ดีหรือ บ๊อง ๆ จนกว่าจินตนาการนั้นเป็นความจริง
คนที่มองทะลุก่อนใครไปในอนาคต จึงจะเห็นโอกาสไม่ต้องดูอื่นไกล กระบวนทัศน์แห่ง
การสื่อสารที่เปลี่ยนจากโทรศัพท์มีสายไปเป็นกระบวนทัศน์โทรศัพท์ไร้สายก็ดี หรือ การสื่อสารทางไปรษณีย์ไปเป็นโทรสารไปเป็นอิเลคโทรนิคเมลล์ (electronic Mail หรือ e-mail ) ก็ดีผู้ที่มองเห็นก่อนและดำเนินธุรกิจด้านนี้ ก็จะประสบความสำเร็จอย่างมากมายได้
เมื่อกระบวนทัศน์เปลี่ยนทุกคนจะเริ่มต้นจากศูนย์พร้อม ๆ กัน แต่ถ้าคนที่มองทะลุกรอบ รู้ว่ากระบวนทัศน์กำลังจะเปลี่ยน แล้วเตรียมตัวก่อน เสียก่อน ก็มีโอกาสถึงเส้นชัยก่อน
เราลองมาดูจากนักคิดว่า กระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนไปที่บรรดานักมองอนาคตหรือผู้มีวิสัยทัศน์ได้พยายามบอกเราว่าอะไรกำลังเปลี่ยน หรือเพิ่งจะเปลี่ยนไปของกระบวนทัศน์มีอะไรบ้าง
จากหนังสือ Leadership in Future ของ Peter Drucker Foundation ได้พูดถึงกระบวนทัศน์ใหม่ของผู้นำ สิ่งแรกที่ผู้นำจะต้องมี คือ “การทำในสิ่งที่ถูกต้อง” หรือ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Doing the Right Things” ซึ่งจะต่างจากกระบวนทัศน์เดิมซึ่งเป็น กระบวนทัศน์ของผู้จัดการ คือ “การทำอะไรให้ถูกต้อง” หรือ “Doing the Things Right” ซึ่งถ้าพูดเร็วหรือฟังเร็วจะดูเหมือนๆ กัน แต่ถ้ามานั่งคิดให้ดีจะเห็นว่ามีความสำคัญต่างกัน คือ
ผู้นำจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือ การจะนำใครไปในทิศทางไหนก็แล้วแต่ เช่น สมมติจะเดินขึ้นบันได การจะพาดบันไดไปกับกำแพงไหนจะมีทางเดินต่อไปไหม หรือจะกลายเป็นเหวอยู่ข้างหน้า จึงสำคัญมากสำหรับยุคสมัยนี้ อาจจะสำคัญว่า การทำอะไรให้ถูกด้วยซ้ำไป เพราะถ้าเดินผิดทิศ แม้จะเดินดีแล้ว แม้จะปีนบันไดได้อย่างดีไม่พลาดตกลงมาแต่จุดหมายปลายทางไม่ใช่จุดที่ถูกต้องแล้ว ก็คงจะเสียเวลาเปล่า ก็เหมือนตอกย้ำเรื่องของนาฬิกาสวิสนั่นเอง
มุมมองของกระบวนทัศน์ใหม่ของหลาย ๆ เรื่องคือ 
มุมมองเกี่ยวกับการบริการสุขภาพ กระบวนทัศน์เดิมคือ การวินิจฉัยและการรักษา ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่เราอยู่และทำกันมาตลอด แต่เราจะไม่ชนะ ถ้าเรามองแต่การรักษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ เช่นเดียวกับการผ่าตัดรักษามะเร็ง ซึ่งเป็นการรักษาปลายเหตุ เมื่อคนไข้มาช้า ซึ่งมักจะมาช้าก็สายเกินไป แต่กระบวนทัศน์ใหม่ที่ควรจะเป็น คือ กระบวนทัศน์ของการส่งเสริมและการสร้างสุขภาพ ไม่ใช่การซ่อมอย่างในอดีต เพราะการส่งเสริมให้มีการป้องกันโรค ให้มีการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงจะคุ้มค่ากว่าประหยัดกว่าและได้ผลมากกว่า คนที่มองเห็นว่ากระบวนทัศน์ตรงนี้กำลังเปลี่ยนหรือเปลี่ยนและได้เห็นทิศทางนี้ มาทำธุรกิจด้านการเสริมสุขภาพ เช่น อาหารชีวจิต ศูนย์ออกกำลังกาย มักจะประสบความสำเร็จที่ดี เนื่องจากปัจจุบัน ประชาชนเห็นความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี (Health Conscious) ตลาดด้านนี้จึงเปิดกว้างอย่างมากทีเดียว
มุมมองเกี่ยวกับความยุติธรรม กระบวนทัศน์เดิมที่ผ่านมาที่เราใช้กระบวนการตัดสินโดยศาลยุติธรรมซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมที่สุด เริ่มเปลี่ยนไปเพราะกระบวนการนี้ จะเป็นการกระบวนการที่เรียกว่า Adversarial process หรือ กระบวนการปฏิปักษ์ คือ โจทก์ก็ดี จำเลยก็ดี หาหลักฐานมาแสดงเพื่อยืนยันว่า “ฉันถูก” “เธอผิด” เพื่อที่พิสูจน์กับศาลให้ศาลเชื่อว่า “ฉันถูก” “เธอผิด” ศาลเมื่อฟังทั้งสองข้างแล้ว ก็ทำหน้าที่ตัดสินออกมาให้ฝ่ายหนึ่งแพ้ ฝ่ายหนึ่งชนะ เป็น แพ้ – ชนะ ศาลไม่เคยตัดสินให้ใครเสมอกัน นอกจากทั้งคู่ประนีประนอมยอมความตกลงกันได้แล้ว ศาลก็พิพากษาตามยอม กระบวนทัศน์ใหม่คือการใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ย โดยคนกลาง (Mediation) หรือบางครั้งเรียกว่า วิธีการแก้ปัญหาข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution : ADR) หรือการแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างเหมาะสม (Appropriate Dispute Resolution Process : ADRP) เป็นกระบวนการที่คนกลางทำหน้าที่กำกับกระบวนการเจรจา ให้คู่กรณีได้มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้กัน (Learning process) และร่วมกันหาข้อยุติร่วมกันที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฉันทามติ” (Consensus) การตัดสินตรงนี้ ก็ไม่ใช่วิธีลงมติโดยการโหวตเสียงข้างมาก แต่ใช้วิธีที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันด้วยความพอใจ หลักการตัดสินก็อาศัย ความยุติธรรม ความชอบธรรมอย่างโปร่งใสที่คู่กรณีและสังคมยอมรับด้วยความพอใจ ผลออกมาเป็นชนะ-ชนะ 
อีกมุมหนึ่งเกี่ยวกับการทำธุรกิจซึ่งในอดีตไม่นานนี้ที่ผ่านมา จะพูดถึงการบริการลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด (Total Customer Satisfaction) นั่นคือถือว่าลูกค้าสำคัญที่สุดที่เราเคยได้ยินว่า “ลูกค้าถูกต้องเสมอ” (Customer is always right) ปัญหาก็คือว่าเมื่อให้ลูกค้าพอใจ แต่ผู้ให้บริการทนทุกข์ทรมาน ก็คงจะไม่ดีนัก ฉะนั้นกระบวนทัศน์ใหม่จึงต้องมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายรวมถึงผู้ให้บริการด้วยที่ควรจะมีความพอใจทั้งหมด (หรือ Total Stakeholders Satisfactions) นั่นคือมองเรื่อง คุณภาพของความสัมพันธ์มิตรภาพความไว้วางใจ ความรักระหว่างกันทุก ๆ ฝ่าย
ผู้นำจึงต้องเป็นผู้ชี้ช่องทางที่ถูกต้องว่าจะเดินไปทางไหน (Path Finding) ทำการปรับโครงสร้างระบบและกระบวนการให้ตรงกับทิศทางที่จะเดินไป (Aligning) และเติมพลัง (Empowering) สร้างสรรค์ซึ่งซ่อนอยู่ เพื่อตอบสนองทั้งลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมทุก ๆ ฝ่าย


ที่มา : http://oboy.bloggang.com
"ดิว" อนาวิน สุวรรณะ EP 4

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

เป็ปซี่ & โคล่า {จากน้องจร(จัด)สู่ฮีโร่ตัวจริง}

เมื่อคืนวันที่ 17 มกราคม ประมาณ 4 ทุ่มเศษ แม่โทรมาบอกว่าเป็ปซี่กับโคล่าเห่าไม่ยอมหยุด จนแม่ต้องโผล่ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าไฟไหม้กองหญ้าแห้งสูงประมาณปลายยอดไม้ อยู่ติดกับรั่วของเพื่อนบ้านซึ่งหากจากบ้านเราไปประมาณ 400 เมตร แม่เลยต้องปลุกพ่อไปช่วยกันดับไฟ..เป็ปซี่กับโคล่าเลยกลายเป็นฮีโร่ไปเลย..แม่ชมเปาะ บอกตอนนี้ที่บ้านเลยกลายเป็นมีหมาเฝ้าบ้านดีๆ เพราะเจ้า 2 ตัวใหญ่ ชิบิกับค็อปเตอร์ก็แก่มากแล้ว หูตาไม่ค่อยจะดี อ้วนและวิ่งก็ไม่ค่อยไหว..เจ้าเป็ปซี่กับโคล่ายังเด็กมี energy สูงมาก วิ่งดูรอบบ้านตลอด อาจเป็นเพราะเคยอยู่เมืองใหญ่มา อาศัยอยู่ข้างถนน ทำให้มีสัญชาติญาณในการป้องกันตัวสูง แล้วตอนนี้เค้ารู้สึกรักและห่วงแหนบ้าน เพราะรู้ว่าบ้านหลังนี้คืออาณาเขตของตัวเอง เป็นที่ซึ่งมันนอนได้สบาย มีข้าวให้กินอิ่มท้อง มีพ่อกับแม่ที่ทั้งสองตัวจะต้องคอยดูแล..
แป็บซี่..นอกจากชอบนั่งอยู่บนม้านั่งสูงหน้าบ้านแล้ว ตอนกลางคืนก็จะไปนอนตรงบันไดหลังบ้าน ซึ่งจุดที่นอนอยู่จะสามารถมองเห็นหน้าบ้านได้ด้วย..ฉลาดเลือกที่นอนจริงๆ..แต่เจ้าเป็ปซี่อ่ะ..เป็นหมาในเมือง พอเค้าเห็นวัวหรือควายก็ตกใจเห่าน่าดู..(แอบขำ) แต่แม่บอกว่าช่วงนี้เห่าน้อยลงแล้ว คงเพราะจะเริ่มชินที่เห็นว่ามีเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ๆสีดำๆขาวๆแบบนี้ กินหญ้าอยู่บริเวณรั้วรอบนอกของบ้าน (555)
ส่วนตัวโคล่าเอง..ถึงจะเป็นหมาหน้าตาดุ แต่สายตาของมันเฉียบแหลมเป็นที่หนึ่ง..สัญชาตญาณในการระวังภัยของเค้ามีสูงมาก..ชอบนอนบนเก้าอี้ไม้ขาสิงห์ตัวใหญ่หน้าบ้าน..แต่พ่อบอกว่าเจ้าค็อปเตอร์พอเห็นเค้ามีที่นอนดีๆสบายๆก็ชอบไปแย่งนอน..ฉะนั้นสมาชิกใหม่ก็ต้องหลีกทางให้เจ้าถิ่นไปตามระเบียบ
แม่เล่าว่า เวลามีเสียงอะไรแปลกๆ อยู่นอกบ้าน เช่น มีเด็กมาปั่นจักรยานอยู่หน้าบ้าน มีรถซาเล็งขับผ่าน เจ้า 2 ตัวนี้จะเห่าตลอด ทำให้เรารู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หรือเวลาที่ใครมาหาเราอยู่หน้าบ้านเค้าทั้งสองจะเห่าจนพ่อกับแม่ต้องโผล่หน้าออกมาดูแล้วก็รู้ว่ามีแขกมา แต่พอแขกเข้าบ้านแล้ว เป็ปซี่กะโคล่า เค้าก็ทำตัวน่ารัก ไม่เข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายหรือเห่าให้รำคาญใจเลย..

ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ก็ปลื้มและชื่นชมกับเค้าทั้งคู่มาก..ตัวเราเองก็ดีใจ เพราะไม่เคยคาดหวังว่าเค้าจะทำตัวน่ารัก คอยเฝ้าและดูแลบ้านได้ดีขนาดนี้..แค่อยากให้เค้ามีชีวิตรอด มีที่อยู่ที่กินดีๆก็แค่นั้น..แต่นี่เค้าดีเกินคาด..ปลื้มใจ..และดีใจ..ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์พาเค้าทั้งคู่ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพ ไปเลี้ยงถึงหนองคายเลย..อิอิ

ขอบคุณของขวัญวันคริสมาสต์ ปี 2010 (25 ธันวาคม 2010: เป็นวันแรกที่เป็ปซี่กะโคล่ามาอยู่บ้านที่หนองคาย)..เรื่องโดย..จี๊ป


ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆๆของเพื่อนสนิท ที่เขียนเรื่องนี้ในเฟสบุ๊ค เธอทุ่มเท กับสิ่งมีชีวิตข้างถนน โดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่การทีี่เธอมอบโอกาสให้ สองชีวิตนี้ มันก็ทำให้ สองชีวิตนี้ ช่วย สอง ชีวิต คือพ่อกะแม่เธอได้
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ค่ะ เพื่อน