วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

หมาขี้เรื้อน!!!!!!!


กิ๊ฟได้รับFw.mailมาจากคุณพ่อคร๊าา ตอนแรกสารภาพเลยนะขี้เกียจอ่านจะลบเลย ^^เพราะกลัวไวรัส

แต่เมื่อเปิดออกมาแล้วก็รู้สึกประหลาดใจและแอบเคืองตัวเองว่าถ้าลบไปนี่จะเอาไรมาลงblog 5555+

ไม่ใช่คร๊าาา แต่เป็นเพราะอะไรลองอ่านดูนะค่ะ ^^เดี๋ยวหนูจะเฉลยข้างล่างว่าเพราะอะไร

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่งเพิ่ง

สำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย รูปพลอย

อิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ

พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้ รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย

ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้าง

อย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป

ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้


โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี

ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีด

เครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า

อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ ซักผ้าเอง

(**เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน** **

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น

พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเองควรจะกระจายอำนาจมอบ งานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียนอ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ **

เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่

เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน* * **

คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน** **

เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้** **

อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม** **

เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ** **

หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน** **

สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี **

คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน** **

แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที** **

เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า** **

เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่** **

แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก** **

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า** **

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น** **

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย** **

นึกอย่างไร** **ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน**

**ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู **

ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง**

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน** **

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน** **

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ

จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก **

" **อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน** **

ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"** **

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย** **

แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า** **

หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ **



อ่านจบแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างที่เป็นอย่างวันนี้เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพอรึป่าว

เพราะเราไม่รู้จักคำว่าพอดีรึป่าว?????

สถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์โลกมันถึงได้เป็นแบบนี้

และเรื่องของ อัตตา ทุกวันนี้เรายึดติดกับอะไรมากไปรึเปล่า????

ลาภ ยศ ชื่อเสียง ใบปริญญา

ยึดติดในความคิดของตนคิดว่าตนเองดีแล้ว

เอาสิ่งที่ตนมีและความต้องการของตนเองไปกำหนดกรอบชีวิตของคนอื่นหรือป่าว???

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น