วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

สืบ นาคเสถียร

ผมคิดว่าชีวิตผม ผมได้ทำดีที่สุดแล้วเท่าที่ผมมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าผมได้ช่วยสังคมดีแล้ว ผมคิดว่ผมได้ทำตามกำลังของผมดีแล้ว และผมพอใจ ผมภูมิใจในสิ่งที่ผมทำ คือคนที่จะทำได้นี่ หนึ่ง ต้องมีความเชื่อมั่น มีพ่อแม่ที่จะ....คือพูดง่ายๆว่าเลี้ยงได้ เราไม่มีงานทำ พ่อแม่ก็เลี้ยงเราได้ ถ้าผมเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ผมไม่ได้เรียนหนังสือ ผมคงไม่มีโอกาสที่จะมาทำงานและก็ไม่สามารถที่จะมีโอกาสมารับผิดชอบสิ่งที่ ดีๆอย่างนี้ ผมรู้สึกดีใจมากเลยที่ผมได้เห็นคนรุ่นหลังๆนะ คิดให้ลึกว่าคนเรานี่ในเมื่อไม่มีใคร แต่ถ้าเราสามารถเลือก เรามีโอกาสดี เรามีเกิดมาในตระ*ลดีๆมีฐานะที่ดี มีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่เป็นลูกตาสีตาสา หรือแม้แต่บางคนเนี่ยไปอำเภอก็ยากลำบาก ถูกเจ้าหน้าที่ขู่ตะคอก แม้แต่ผมเอง เวลาผมต้องไปติดต่อขออะไรที่อำเภอติดต่อราชการด้วยกัน ผมไม่เคยได้รับอะไรพิเศษ แต่ผมจะได้รับอะไรพิเศษถ้าเขารู้ว่าผมเป็นลูกใครเขาจะรีบบริการ ยิ่งสมัยก่อนนี้ สมัยที่พ่อผมยังอยู่ที่จังหวัด ผมกลับไปบ้านผมจะเอาอะไรก็ได้ ผมไม่ต้องเดินไปเองก็ได้ แต่ผมไม่เคยขออะไรจากพ่อผมเลย พ่อผมยังเคยว่าผมเลย เพราะผมไปเอาอะไรที่อำเภอ ผมไม่เคยบอกพ่อผม เจ้าหน้าที่เขาจะทำให้ไม่ดีผมก็ไม่เคยว่า ผมไปเกณฑ์ทหารที่ปราจีนฯ พ่อผมเป็นผู้ว่าฯอยู่ ผมก็ไม่เคยบอกพ่อว่า พ่อช่วยหน่อยเพราะผมเห็นใจคนอีกเยอะที่ไม่มีโอกาสในสังคมแบบนี้ แล้วทำไมผมจะไปเกณฑ์ทหารและไปฝึก*สิ่งที่มันดีๆเพื่อมารับใช้ชาติสัก 2-3 ปีเหมือนอย่างคนอื่นๆ เหมือนลูกตาดำตาแดงบ้างไม่ได้ ผมไปจับใบดำใบแดง บังเอิญผมโชคดีจับได้ใบดำ ผมกลับมาบ้านบอกพ่อ พ่อบอกว่าเอ็งทำไมไม่บอก เพราะว่านายทหารที่อยู่ปราจีนบุรีเขาก็เพื่อนพ่อ เขาสะกิดนิดเดียวชื่อผมก็กระเด้งไปอยู่ข้างนอกทันที ...อย่างนี้มันทำกันเยอะในเมืองไทย และผมเห็นใจคนที่ไม่มีโอกาสในสังคมถูกบีบคั้นถูกเอาเปรียบทุกอย่าง ประเทศไทยจะดีขึ้นถ้าคนมีโอกาสยอมสละโอกาสบ้าง(เสียงคนเล่าสั่นเครือลงทุก ขณะ) เราช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาสให้ลืมตาอ้าปากได้ นอกจากจะเป็นกุศลแล้ว มันจะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ผมอยากเห็นสังคมดีขึ้น ผมพูดแล้วบางครั้ง....ผมอยากจะร้องไห้...จบถ้อยความนี้ ทั้งผู้ให้สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์เงืยบงันไปชั่วขณะ ดวงตาหลังแว่นของผู้ให้สัมภาษณ์ มีหยาดน้ำปริ่มอยู่ขอบตา และในใจของผู้ให้สัมภาษณ์ก็แกว่งใหวไปด้วย ทั้งสองคนพยายามระงับความรู้สึกก่อนที่ถ้อยความต่อไปจะหลุดจากปากอีกครั้ง
*****ที่คุณสืบคิดอย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่มีส่วนช่วยปลูกฝังในเรื่องนี้ด้วยใช่ใหม
/////บางครั้งครอบครัวมีส่วนมาก พ่อผมไม่เคยโกงใครกิน ...ทำไมผมถึงดีใจและภาคภูมิใจกับพ่อผมมาก เพราะพ่อเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ไม่มีสมบัติอะไร รถที่ขับอยู่ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นรถเบ็นซ์ในสายตาของคนอื่น แต่พ่อผมได้รถคันนี้มาจากการซื้อจากเพื่อน ซื้อเซ็คคั่นแฮนด์แล้วมาทำสีใหม่ ใช้เงินบางส่วนของแม่ผมซื้อมา แม่ผมมีที่นา เก็บค่าเช่านามา สมัยผมเด็กๆผมเคยมีความรู้สึกกับคนที่เช่าที่นาผมและผมคุยกับแม่ว่า แม่อย่าไปทำเหมือนคนอื่นนะ
สมัยเด็กๆแม่สอนผมทุกอย่าง แม่ยังคิดว่าผมจะป็นลูกผู้หญิง ผมเย็บจักรได้ ผมทำกับข้าวได้ ตื่นเช้าจะต้องถูบ้าน ต้องหุงข้าว ตักบาตรก่อนไปโรงเรียน กลับมาบ้านผมจะต้องไปเก็บกวาด แม่สอนผมทุกอย่าง ผมไม่เหมือนลูกผู้ว่าฯบางคนที่เดินดินด้วย*เปล่ายังเดินไม่เป็น แต่ผมทำได้ทุกอย่างและอันนี้ทำให้ผมเป็นคนอย่างนี้ เพราะผมรู้ความรู้สึกของคนที่ลำบาก ผมรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่มีโอกาส สิ่งใหนที่ผมจะช่วยสังคมได้ผมจะช่วย ที่ผมต้องตะโกนให้เพราะผมอยากเห็นสังคมมันดีขึ้น ผมอยากเห็นคนที่มีโอกาสสละโอกาสให้กับคนที่ไม่มีโอกาสบ้าง อย่าได้เที่ยวกอบโกยมากกว่านี้เลย เพราะมันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น


จากการสัมภาษณ์สืบ นาคะเสถึยร เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2533
ก่อนการเสียชีวิต 7 เดือนเศษ ลงพิมพ์ในหนังสืออิมเมจ เล่มที่ 3 เดือนมีนาคม 2533
ส่วนหนึ่งจากหนังสือตะโกนก้องจากพงไพร ชีวิตและผลงานของสืบ นาคะเสถียร